หาดไวท์เฮเวน

รูปภาพ

 

หาดไวท์เฮเวน, ประเทศออสเตรเลีย

            ณ เกาะวิธซันเดย์ ประเทศออสเตรเลีย มีชายหาดที่ขึ้นชื่อว่ามีทรายขาวสะอาดที่สุดในโลกอยู่ที่นั่นด้วย แถมยังเป็นหนึ่งในทะเลที่มีธรรมชาติสมบูรณ์มากที่สุดอีกต่างหาก จากการที่เดินทางได้โดยเรือเท่านั้น ปราศจากที่พักบนเกาะ และยังห้ามนำสุนัข รวมทั้งบุหรี่เข้าไปอีกด้วย มันจึงเป็นเหมือนเกาะที่ตัดขาดจากโลกภายนอกที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ดี แม้คุณจะชื่นชมความขาวสะอาดของทรายที่นี่มากแค่ไหน ก็แอบตักกลับไปไม่ได้หรอกนะ เพราะอาจเจอค่าปรับสูงสุดตั้ง 5 พันเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.4 แสนบาทเลยทีเดียว

เกาะพีพี

รูปภาพ

 

เกาะพีพี : คือ ส่วนหนึ่งในตำบลอ่าวนาง จ.กระบี่ บนฝั่งทะเลอันดามัน เกาะพีพีรับอิทธิพลลมมรสุมตะวันตก ในเดือน พ.ค. ถึง พ.ย. ทุกปี ช่วงเวลาดังกล่าวจึงไม่สะดวกนักหากเราจะเดินทางไปท่องเที่ยวเกาะพีพี แต่หากวันใดไม่มีคลื่นลมแรง เราก็สามารถเดินทางไปเกาะพีพีได้ตลอด เรือโดยสารส่วนใหญ่เป็นเรือขนาดความจุ 200 ที่นั่งขึ้นไปค่อนข้างปลอดภัยในการเดินทางไปเกาะพีพี
 หมู่เกาะพีพี จากคำบอกเล่า เกาะพีพีเดิมชาวทะเลเรียกหมู่เกาะนี้ว่า ปูเลาปิอาปี คำว่า ปูเลา แปลว่า เกาะ คำว่า ปิอาปี แปลว่า ต้นไม้ทะเลชนิดหนึ่งจำพวกแสม ต่อมาเรียกว่า ต้นปีปี ภายหลังกลายเสียงเป็น พีพี หมู่ เกาะพีพีประกอบด้วยเกาะ 6 เกาะ คือ เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะปิด๊ะนอก เกาะปิด๊ะใน เกาะยูง เกาะไม้ไผ่ เกาะพีพีอยู่ห่างจากชายฝั่งกระบี่ประมาณ 42 กิโลเมตร ลักษณะโดยทั่วไปเป็นเวิ้งอ่าวรูปครึ่งวงกลม เกาะพีพีอยู่ในวงล้อมของภูเขาหินปูนที่สูงชันจนเกือบเป็นทะเลใน หรือที่ชาวเกาะเรียกว่า ปิเละ

รูปภาพ

 

เกาะพีพี : คือ ส่วนหนึ่งในตำบลอ่าวนาง จ.กระบี่ บนฝั่งทะเลอันดามัน เกาะพีพีรับอิทธิพลลมมรสุมตะวันตก ในเดือน พ.ค. ถึง พ.ย. ทุกปี ช่วงเวลาดังกล่าวจึงไม่สะดวกนักหากเราจะเดินทางไปท่องเที่ยวเกาะพีพี แต่หากวันใดไม่มีคลื่นลมแรง เราก็สามารถเดินทางไปเกาะพีพีได้ตลอด เรือโดยสารส่วนใหญ่เป็นเรือขนาดความจุ 200 ที่นั่งขึ้นไปค่อนข้างปลอดภัยในการเดินทางไปเกาะพีพี
 หมู่เกาะพีพี จากคำบอกเล่า เกาะพีพีเดิมชาวทะเลเรียกหมู่เกาะนี้ว่า ปูเลาปิอาปี คำว่า ปูเลา แปลว่า เกาะ คำว่า ปิอาปี แปลว่า ต้นไม้ทะเลชนิดหนึ่งจำพวกแสม ต่อมาเรียกว่า ต้นปีปี ภายหลังกลายเสียงเป็น พีพี หมู่ เกาะพีพีประกอบด้วยเกาะ 6 เกาะ คือ เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะปิด๊ะนอก เกาะปิด๊ะใน เกาะยูง เกาะไม้ไผ่ เกาะพีพีอยู่ห่างจากชายฝั่งกระบี่ประมาณ 42 กิโลเมตร ลักษณะโดยทั่วไปเป็นเวิ้งอ่าวรูปครึ่งวงกลม เกาะพีพีอยู่ในวงล้อมของภูเขาหินปูนที่สูงชันจนเกือบเป็นทะเลใน หรือที่ชาวเกาะเรียกว่า ปิเละ

เกาะล้าน ที่ชลบุรีจ้า

รูปภาพ

 

 “เกาะล้าน” ตั้งอยู่ที่ จ.ชลบุรี อยู่ห่างจากชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร นั่งเรือโดยสาร 45 นาทีก็ถึง (นั่งกินลมชมวิวเพลิน ๆ) หากเดินทางโดยเรือเร็วจะใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น (เร็วจริง ๆ) มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง 

          ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ เพราะน้ำทะเลที่เกาะล้านนี้ใสมาก ๆ แถมยังเย็นชื่นใจอีกด้วย ว่ายไปว่ายมา บ้างก็ดำผุดดำว่าย บ้างก็ลอยตัวบนผิวน้ำใส ๆ ก็เพลินใจไปอีกแบบ อ๋อ… ที่เรียกกันว่า “เย็นกายสบายใจ” เป็นอย่างนี้นี่เอง… หรือจะเลือกไปดำน้ำดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็น “เรือลากร่มชูชีพ” สำหรับผู้ที่ชอบหวาดเสียว “เรือสกี” สำหรับผู้ที่ชอบความท้าทาย หรือจะเลือกมันส์ไปกับ “สกู๊ตเตอร์” ก็ไม่มีใครว่า 

รูปภาพ

 

หอคอยกรุงโซล ( Seoul Tower )

 

        หอคอยนี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของกรุงโซล ตัวหอคอยมีความสูงเกือบ 240 เมตร ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกว่า “นัมซันทาวเวอร์” เพราะหอคอยตั้งอยู่บนภูเขานัมซานซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับชมวิวทิวทัศน์ของกรุงโซล โดยเฉพาะในช่วงเวลาค่ำคืนนั้น จะเห็นสภาพบ้านเมืองของกรุงโซล ด้านล่างเต็มไปด้วยแสงสีต่างๆ อธิบายไม่ถูกเลยว่ารู้สึกยังไงที่รู้ ๆ คือประทับใจมาก

ที่หอคอยแห่งนี้มีซีรีย์หลายๆ เรื่องมาถ่ายที่นี่ ทำให้ความดังยิ่งทวีความฮิตเข้าไปใหญ่ เพราะแต่ละครั้งที่มีคนมา จะต้องได้ยินประโยคซ้ำๆ ว่าตรงนี้เคยถ่ายเรื่องนี้ไง ตอนนั้นตอนนี้ของซีรีย์ เราเองก็ยังเป็น มันเหมือนอดมีส่วนร่วมไม่ได้ นี่ล่ะมั้ง…ที่เขาถึงว่าซีรีย์เกาหลีเป็นตัวนำคนมาเที่ยวได้ดีที่สุด ทางขึ้น Seoul tower มี 2 วิธี จะเดินขึ้นด้วยลำแข้ง หรือขึ้นกระเช้าไปก็ได้ ถ้าขึ้นกระเช้าก็เสียเงินนิดหน่อย ได้ดูวิวจากมุมสูงไปตลอดทาง ถ้าขึ้นตอนเช้า จะได้บรรยากาศอีกแบบขึ้นตอนกลางคืนก็ได้อีกแบบ เคยลองขึ้นทั้ง 2 ครั้งแล้ว รู้สึกจะชอบตอนเช้ามากกว่านะ มันสดชื่นดี ถ้าตอนกลางคืนจะเห็นทั้งเมืองเป็นสีๆ ของแสงไฟ ให้อารมณ์เหงา ๆ พิกล

 แต่จะกลางวันหรือกลางคืน คนก็คึกคักตลอดเวลาคนเกาหลีเองก็นิยมมา ขึ้นมาดูวิวถ่ายรูปแล้วก็กลับถ้าอยากขึ้นไปถึงข้างบนสุดก็ต้องเสียตังค่าลิฟท์ขึ้นไปข้างบนเป็นเหมือนหอคอยทั่วไป มีจุดชมวิวให้เราถ่ายรูปเล่น ถ้าสังเกตบนกระจกแต่ล่ะบานจะมีชื่อประเทศอื่นและระยะทางอยู่นั้นล่ะที่น่าสนใจ แต่ถ้าถามว่าเห็นมั้ยขอไม่ตอบล่ะกันอันนี้คงต้องไปดูเองแล้วล่ะ

และที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ การที่มีคู่รักเดินขึ้นไปแล้วเอากุญแจที่มีชื่อตัวเองกับคนรักเขียนแล้วนำไปล็อคไว้ จากนั้นก็จะโยนลูกกุญแจทิ้ง…เป็นเคล็ดว่ารักเราทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่มีใครมาพลัดพลาก.. อยากพาแฟนมาทำแบบนี้บ้างอ่ะดิ เอาล่ะถ้าคิดแบบนี้ได้แล้วจะรอช้าอยู่ใยรีบชวนสาวเจ้าไปคล้องกุญแจกันดีกว่า รับรองสาวเจ้ารักตายเลย….ฮิฮิ

ด้านล่างของ Seoul Tower จะมี Teddy Bear Museum อยู่ด้วย รูปแบบก็จะเป็นประวัติและรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวเกาหลีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ประวัติวันโกหก

รูปภาพ

 

ประวัติความเป็นมา วันโกหก April Fool’s Day

         มีตำนานเล่ากันมาว่า เมื่อสมัยก่อน พวกฝรั่งเขาก็มีวันขึ้นปีใหม่ใกล้ ๆ บ้านเรานี่แหละ คือเดือนเมษายน แต่แล้วทางการมีการเปลี่ยนวันปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม บังเอิญยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ ก็ยังคงส่ง ส.ค.ส. ให้กันในวันที่ 1 เมษายน พวกเขาก็เลยเรียกพวกนี้ว่าพวก “เมษาหน้าโง่” แล้วก็มีการแกล้งกันโดยไม่บอกความจริงเพื่อความสนุกสนาน จนกลายเป็นเทศกาลที่รู้จักและเล่นกันในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส สกอตแลนด์ อิตาลี สเปน โปรตุเกส สวีเดน เยอรมนี นอร์เวย์ ญี่ปุ่น ฯลฯ โดยแต่ละประเทศอาจมีวันโกหก ไม่ตรงกับวันที่ 1 เมษายน เสมอไป

         อย่างไรก็ตาม มีหลายทฤษฎีเกี่ยวกับความเป็นมาของวันโกหก April Fool’s Day บ้างก็ระบุว่า เริ่มจากพวกโรมันโบราณ มีเทศกาลที่เรียกว่า “Cerealia” จัดในช่วงต้นเดือนเมษายน เรื่องเล่านี้มีว่า เทพเจ้าชื่อ Ceres ทรงได้ยินเสียงสะท้อนของพระธิดา Prosperpina ตะโกนมาว่า เธอถูกจับตัวไปอยู่ใต้ผืนดินโดยเทพพลูโต Ceres จึงตามเสียงลูกสาวไป และได้พบความจริงที่ว่า การตามเสียงสะท้อนเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเลย เหมือนว่าพระองค์ทรงถูกหลอกนั่นเอง

         นอกจากนี้ ยังมีอีกทฤษฎีที่เชื่อว่า วันโกหก April Fool’s Day เกิดจากช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หนุ่มสาวจะออกตามหาความรัก และเป็นช่วงที่พืชเจริญเติบโต ในขณะที่สัตว์ต่าง ๆ ก็หาคู่ด้วย กลุ่มนักบวชจึงพยายามหลอกล่อวิญญาณของความชั่วร้ายอย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้มาขัดขวางความรักของทั้งหนุ่มสาว พืช และสัตว์ ดังนั้น จึงเป็นเดือนที่นักบวชจะต้องสวดเพื่อหลอกเหล่าวิญญาณร้ายนั่นเอง

ประวัตีอีสเตอร์เดย์

รูปภาพ

 

คำว่า “อีสเตอร์” นี้ไม่มีอยู่ในพระคัมภีร์ แต่เรื่องราวความหมายและความสำคัญของคำๆนี้ ปรากฎชัดอยู่มากมายในพระคัมภีร์ คำว่า “อีสเตอร์” ที่ถูกนำมาใช้เรียก “เทศกาลเฉลิงฉลองการที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย” นี้ได้มาจากนามของ “เทวี หรือพระแม่เจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ” ของพวกแองโกล-แซกซอน ที่มีนามว่า “Eastre”…

เข้าใจว่าการฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์นั้นมาเกี่ยวข้องกับฤดูใบไม้ผลิ เพราะ

1. วันอีสเตอร์ อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (ระหว่างเดือนมีนาคม และ เมษายน)

2. ฤดูใบไม้ผลิ เป็นสัญญลักษณ์ของชีวิตใหม่ เพราะต้นไม้ใบหญ้าที่ดูเหมือนตายไปแล้ว ในฤดูหนาวกลับผลิใบออกดอกดุจเกิดใหม่ นับเป็นภาพที่เหมาะสมกับการพรรณนาถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์

แต่ตัว เทศกาลนี้ จริงๆแล้วได้พัฒนามาจากเทศกาล “ปัสกา” (Passover) ของยิว ช่วงสุดท้ายของชีวิตพระเยซูคริสต์ ก็อยู่ในช่วงเทศกาลปัสกาดังกล่าว

 

ดั้งเดิมแล้ว วันอีสเตอร์ ได้ถือปฏิบัติกันในวันปัสกา (วันที่ 14 เดือนนิสาน) จนกระทั่งในกลางศตวรรษที่ 2 คริสเตียนบางกลุ่มเริ่มเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์นั้น ในวันอาทิตย์หลังจากวันที่ 14 เดือนนิสาน โดยถือเอาวันศุกร์ก่อนหน้า เป็นวันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงสิ้นพระชนม์ สุดท้ายก็เกิดการโต้เถียงในเรื่องวันที่ถูกต้องในการฉลองอีสเตอร์

จน กระทั่งในปี ค.ศ. 197 วิคเตอร์ แห่งโรม ได้บีบพวกคริสเตียนที่ยังยืนกรานที่จะฉลองอีสเตอร์ในวันที่ 14 เดือนนิสาน ให้ออกไปจากหมู่คณะ แต่การถกเถียงยังคงดำเนินอยู่ต่อไป จนกระทั่งมาถึงต้นศตวรรษที่ 4 จักรพรรดิ คอนสแตนติน ทรงบัญชาให้ถือรักษาวันอีสเตอร์เป็นวันอาทิตย์ หลังวันที่ 14 เดือนนิสาน แทนการฉลองในวันที่ 14 เดือนนิสานเหมือนที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม

ด้วยเหตุนี้เอง วันอีสเตอร์จึงได้รับการเฉลิมฉลอง ในวันอาทิตย์แรกหลังจากคืนวันเพ็ญแรก ที่ตามหลังวัน “วสันตวิษุสวัต” (Vernal equinox) ซึ่งเป็น “วันที่กลางวันเท่ากับกลางคืน” ตรงกับวันที่ 21 มีนาคม พูดง่ายๆก็คือจากวันนี้มาจนถึงวันนี้ วันอีสเตอร์จะต้องมาหลังจากวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี

จึงสรุป ได้ว่า เมื่อตอนเริ่มแรกนั้น อีสเตอร์ เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ผูกพันใกล้ชิดกับวันปัสกา ซึ่งเตือนให้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอล ให้อพยพรอดออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์ และเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ ทรงถูกตรึงตายไถ่ผู้ศรัทธาในพระองค์ให้รอดพ้น จากโทษบาป

จนกระทั่งในศตวรรษที่ 4 อีสเตอร์ จึงแยกออกมาเป็นการเฉลิงฉลองเพื่อระลึกถึง “การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์” หลังจากที่พระองค์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปของมนุษย์และการฉลองนี้ จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่เคยเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิของชาวยุโรป

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ จำดำเนินมายาวนานนับพันปีแล้ว แต่สำหรับชาวไทยนั้น วันอีสเตอร์ยังนับว่าเป็น สิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย

หวังว่า จากนี้ไป อีสเตอร์ จะกลับกลายเป็นเทศกาลที่คนไทยตื่นเต้น ที่จะร่วมเฉลิมฉลองด้วยความเข้าใจ

ประวัติวันขอบคุณพระเจ้า

รูปภาพ

 

วัน Thanksgiving หรือวันขอบคุณพระเจ้า เป็นวันที่คนอเมริกันรำลึกขอบคุณ พระผู้เป็นเจ้า ที่ช่วยให้ผู้อพยพมาตั้งรกรากในอเมริกาชุดแรกรอดชีวิตมาได้ เมื่อเกือบสี่ร้อยปีมาแล้ว โดยจะฉลองกันในวันพฤหัสบดีที่สี่ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งปีนี้ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่28 โดยแม่บ้านจะอบไก่งวง และมีเครื่องใส่ไส้ ซึ่งประกอบไปด้วย ขนมปังหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ เห็ด คึ่นช่ายฝรั่ง หอมใหญ่ และเครื่องเทศ นอกจากนั้นก็มีมันเทศอบ และซ้อสแครนเบรี่ ส่วนของหวานก็มักจะได้แก่ พายฟักทองหรือพายแอปเปิ้ลบางบ้านที่ไม่ชอบไก่งวงก็อาจอบขาหมูแฮมแทน  ส่วนคนไทยบางบ้านในอเมริกา ก็อาจร่วมฉลองด้วยการทำข้าวมันไก่งวง ข้าวหมกไก่งวง ต้มยำไก่งวง หรือแกงเขียวหวานไก่งวง คุณ Stephanie Stasik ซึ่งโตขึ้นมาในมลรัฐเวอร์จิเนีย ชานกรุงวอชิงตันบอกว่า เมื่อเล็กๆ คุณแม่ทำกับข้าววัน Thanksgiving หลายอย่าง เช่น มันเทศบด โดยมีขนมหวานน้ำตาลฟูโรยหน้า ซึ่งคุณStephanie เองไม่เชื่อว่า พวก pilgrims นิกายศาสนาบริสุทธิ์ มีรับประทาน นอกจากนั้นก็จะมีข้าวโพด แครนเบรี่ พายแอปเปิ้ลเป็นของหวาน นอกเหนือไปจากไก่งวง เครื่องใส่ไส้ มันฝรั่ง และอาจจะมีข้าวด้วย ว่ากันว่า ไก่งวง มีสาร tryptophan ซึ่งทำให้ง่วงนอนจัด บางบ้าน พอรับประทานไก่งวงเสร็จแล้ว  ก็มักจะพักผ่อนดูฟุตบอลหรืองีบกัน ส่วนประวัติของวันขอบคุณพระเจ้านั้น เริ่มต้นขึ้นมาจากต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 หรือเมื่อเกือบ 400 ปีมาแล้ว คณะนักจาริกแสวงบุญที่เรียกกันว่า พวก pilgrims นิกายศาสนาบริสุทธิ์ หรือPuritanism ออกเดินทางจากอังกฤษ โดยเรือ Mayflower มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ปัจจุบันเป็นเมือง Plymouth มลรัฐ Massachusetts ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงปีรุ่งขึ้นคศ. 1621 หรือ พศ. 2164 หลังจากที่รอดชีวิตจากความอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บและอากาศหนาวเย็นในดินแดนใหม่มาได้ครบ 1 ปี หลังเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว พวกพิลกริมส์เลยจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองขอบคุณพระเจ้า โดยได้เชิญชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองมาร่วมด้วย เนื่องจากว่า ชาวอินเดียนแดง เป็นผู้สอนพวกพิลกริมส์ ให้เพาะปลูกข้าวโพดและพืชผลพื้นเมืองอื่นๆ ไว้เป็นอาหารประทังชีวิต

 

งานเลี้ยงครั้งนั้น ประกอบไปด้วย ไก่งวงป่า  เป็ด ห่าน  ปลาค้อดและกวาง ไก่งวง จึงกลายมาเป็นอาหารสัญลักษณ์ของวันขอบคุณพระเจ้า มาจนทุกวันนี้

 

แต่ในชั้นแรกนั้น วันขอบคุณพระเจ้า ไม่ได้เป็นวันหยุดที่มีการฉลองกันทั่วประเทศ จนกระทั่ง นาง Sarah Josepha Hale บรรณาธิการ นิตยสารสตรี Godey’s Lady’s Book รณรงค์ต่อรัฐสภาสหรัฐ

 

ในปีคศ. 1863 หรือ พศ. 2406 ประธานาธิบดี ลินคอล์นเลยประกาศให้วันขอบคุณพระเจ้า เป็นวันหยุดทั่วประเทศ สืบเนื่องมาจนทุกวันนี้ โดยที่ ที่ทำการรัฐบาล จะปิดทำการทั้งในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ที่สี่ของเดือนพฤศจิกายนกว่าจะไปเปิดทำการกันอีกครั้งก็ในวันจันทร์ถัดมา

สมาชิกในครอบครัวที่แยกย้ายกันออกไปอยู่ตามมลรัฐต่างๆ ก็มักพยายามเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านกัน ทำให้ช่วงวันขอบคุณพระเจ้านี้ มีคนเดินทางกันแน่นขนัดที่สุดในรอบปี

ประวัติวันวาเลนไทน์

รูปภาพ

 

วันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day) มีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ซึ่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่ง เป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดา แห่งอิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของเด็กหนุ่มและเด็กสาว ต่อมาใน รัชสมัยจักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม ที่มีกษัตริย์ ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การทำสงครามนองเลือด และทรงห้ามการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาดโดยขณะนั้นมีนักบุญรูปหนึ่งชื่อว่า “เซนต์วาเลนไทน์” หรือ “วาเลนตินัส” ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงโรม ได้ร่วมมือกับ เซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ด้วยความปรารถนาดีของท่านนี้เอง จึงทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตเซนต์วาเลนไทน์ ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อว่า “จูเลีย” ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะถูกประหารชีวิตนั้น เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย อันเป็นที่รัก โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine

ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 (วันวาเลนไทน์) หรือ พ.ศ.813 ราว 1,738 ปี หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่ โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม ซึ่ง จูเลีย ได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของเซนต์วาเลนไทน์ หรือ วาเลนตินัส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพู ได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจเลยว่า ในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจใน วันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

ประวัติวันฮาโลวีน

รูปภาพ

 

ประวัติวันฮาโลวีน

สาเหตุที่วันฮาโลวีน ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีนั้น เชื่อกันว่า เป็นวันที่ชาวเคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอซ์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดปี โดยถือกันว่าเป็นวันที่มิติคนตายและ มนุษย์จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและ วิญญาณผู้เสียชีวิตในปีที่ผ่านมาจะเที่ยวหาร่างของคนเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จึงทำให้คนเป็นอย่างเรา ในวันฮาโลวีนจะต้องหหาทางแก้ไขด้วยการปิดไฟในบ้านทุกดวง ให้บ้านมืดมิด ร่วมกับอากาศที่หนาวซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนาของบรรดาผีร้าย อีกทั้งยังมีบางส่วนจะแต่งตัวเป็นผีต่างๆ เพื่อกลบเกลือนวิญญาณว่าไม่ใช่คนเป็นนั้นเอง